รัชกาล ของ พระเจ้าอีริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก

ตราพระราชลัญจกรพระเจ้าอีริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก รูปนกอินทรีข้างตราอาร์มเป็นการแสดงถึงพระราชมารดาของพระองค์ อักเนสแห่งบรันเดินบวร์ค

ในเวลาเดียวกันความขัดแย้งทางศาสนาได้เกิดขึ้นเนื่องจากเจนส์ กรันด์ อาร์กบิชอปแห่งลุนด์คนใหม่ผู้ทะเยอทะยาน ได้สนับสนุนพวกนอกกฎหมาย รวมถึงญาติพี่น้องของเขาแทนที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ เมื่อเขาได้รับเลือกสู่ตำแหน่งโดยสมเด็จพระสันตะปาปา เขาก็รับปากต่อพระองค์ว่าจะสาบานตนจงรักภักดีต่อกษัตริย์ เขากล่าวว่า "มันไม่สำคัญหรอกว่ากษัตริย์เดนมาร์กจะเป็นดยุกวัลเดมาร์ ชาวยิว ชาวเติร์ก พวกนอกศาสนาหรือเป็นปีศาจ แต่ต้องไม่ใช่อีริคหรือคริสตอฟเฟอร์"[7] บิชอปเจนส์ดำเนินแผนการไปไกลกว่านั้น เขามอบที่ดินของคริสตจักรที่ฮุนเดอฮัลด์แก่พวกกบฏที่ถูกเนรเทศเพื่อสร้างป้อมปราการและยังให้ความบันเทิงแก่พวกเขาด้วย กษัตริย์ทรงทนไม่ไหวทรงมีพระราชโองการให้จับกุมบิชอปเจนส์ในปีค.ศ. 1294 อาร์กบิชอปถูกส่งไปคุมขังล่ามโซ่โดยดยุกคริสตอฟเฟอร์ที่ "หอคอยมืด" ในซอบอร์ก หลังจากต้องทนกับสภาพเลวร้ายหลายเดือน กษัตริย์ทรงส่งคนไปตรวจสอบบิชอปเจนส์เพื่อดูว่าเขาจะสาบานจงรักภักดีอีกครั้งหรือไม่และต้องสัญญาว่าจะไม่แก้แค้นจากการถูกจองจำครั้งนี้ บิชอปตอบว่า "แทนที่ข้าจะยอมก้มหัวตามพระราชประสงค์ ข้ายอมให้กษัตริย์สับร่างข้าเป็นชิ้นๆ เสียยังดีกว่าที่จะยอมทำตามคำสั่งของพระองค์" หลังจากเขาถูกกักขังด้วยสภาพที่เลวร้ายเป็นเวลาสองปี บิชอปเจนส์สามารถหลบหนีได้ด้วยความช่วยเหลือของคนรับใช้ในครัว บิชอปเจนส์หลบหนีไปยังกรุงโรมเพื่อให้สันตะสำนักพิจารณาคดีของเขา สมเด็จพระสันตะปาปาทรงประกาศขับไล่กษัตริย์อีริคออกจากศาสนา ชาวเดนมาร์กทั้งหมดถูกคว่ำบาตรจนกว่าอาณาจักรจะจ่ายเงินชดเชยให้บิชอปเจนส์ กรันด์ 49,000 เหรียญ เดนมาร์กไม่สามารถหาเงินจำนวนดังกล่าวได้จึงต้องอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรเป็นเวลาสี่ปี ในปีค.ศ. 1302 กษัตริย์อีริคทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อขอความเมตตาแก่พระองค์เองและราชอาณาจักรที่ปราศจากการรับศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหลายปี พระองค์สัญญาว่าจะทำทุกสิ่งที่สมเด็จพระสันตะปาปาดำรัสสั่ง กษัตริย์อีริคทรงถ่อมตนต่อหน้าสาธารณชน สมเด็จพระสันตะปาปาโบนิฟาซที่ 8 ทรงได้รับการเจรจาจากตัวแทนเดนมาร์กอย่างมาร์ตินแห่งดาเซีย พระองค์ยินดีที่จะลดค่าปรับลงถึง 80% จะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรและการขับออกจากศาสนา และอาร์กบิชอปเจนส์ได้รับตำแหน่งจากสมเด็จพระสันตะปาปาอีกครั้ง โดยเขาไม่ต้องขึ้นตรงต่อกษัตริย์อีริค[8]

กษัตริย์อีริคทรงรักในการประลองอย่างมาก และพระราชทรัพย์ก็หลั่งไหลออกจากท้องพระคลังเพราะการจัดงานบันเทิงของพระองค์ การประลองอัศวินครั้งหนึ่งที่ร็อสท็อค ไวน์ เหล้าน้ำผึ้งและเบียร์ มีให้เติมตลอดทั้งเดือนสำหรับทุกคนที่ต้องการดื่ม กษัตริย์ทรงจ่ายค่าบำรุงม้าและปศุสัตว์ทั้งหมดตลอดทั้งงานประลอง รวมถึงข้าวโอ๊ตกองเท่าภูเขาสำหรับแขกในงานทุกคน พระองค์ทรงสร้างระบบภาษีแบบใหม่และไม่ธรรมดาที่ขูดรีดทั้งชาวนาและขุนนางไปพร้อมๆ กัน เมื่อภาษีไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของกษัตริย์ พระองค์ได้ยืมเงินจำนวนมากจากเหล่าขุนนางเยอรมัน รวมถึงการจำนองที่ดินของเดนมาร์กให้แก่พวกเขา กษัตริย์อีริคทรงยกทัพไปแสวงหาที่ดินใหม่ๆ ในเยอรมนีเพื่อจะกู้คืนความเป็นมหาอำนาจแห่งสแกนดิเนเวียของเดนมาร์กโดยผ่านการเป็นพันธมิตรกับเจ้านครเยอรมัน ได้แก่ ดยุกแห่งเมคเลนบูร์ก พระองค์พยายามเป็นเจ้าเหนือหัวของเมืองสันนิบาตฮันเซอหลายเมืองเพื่อต่อสู้กับบรันเดินบวร์คและรัฐอื่นๆ พระองค์ยังทรงแทรกแซงสวีเดนเพื่อสนับสนุนพระอนุชาของพระมเหสีในการสู้รบกับฝ่ายต่อต้านในปีค.ศ. 1305 และอีกครั้งในปีค.ศ. 1307 - 1309 ในขณะเดียวกันทรงสู้รบอยู่ในเยอรมนี พระองค์ทรงว่าจ้างทหารเยอรมันเพื่อพลิกสถานการณ์ด้วยเงิน

ในปีค.ศ. 1312 เกิดทุพภิกขภัยในเดนมาร์ก เมื่อกษัตริย์ทรงเรียกเก็บภาษีเช่นเดิม ชาวนาในเชลลันด์จึงก่อกบฏ กษัตริย์อีริคทรงปราบปรามกบฏอย่างโหดร้าย มีการแขวนคอชาวนาหลายร้อยคนรอบกรุงโคเปนเฮเกน ปีถัดมามีการประชุมสภาที่วีบอร์ก ชาวนาและขุนนางประกาศก่อบกบฏต่อกษัตริย์อย่างเปิดเผย ใครที่ไม่ยอมช่วยเหลือกบฏและยังสนับสนุนกษัตริย์ จะถูกจับแขวนคอที่คานบ้านของคนนั้นเอง กษัตริย์อีริคทรงปราบปรามกบฏด้วยกองกำลังทหารรับจ้างเยอรมัน ซึ่งกวาดล้างพวกกบฏไปไกลถึงราเนอส์ กษัตริย์ทรงสร้างป้อมปราการด้วยการใช้แรงงานทาสชาวนา ซึ่งเป็นบทลงโทษสำหรับพวกกบฏ ขุนนางที่เกี่ยวข้องต่างถูกเนรเทศหรือประหารชีวิต ทรัพย์สินถูกริบเข้าท้องพระคลัง มีการก่อสร้างฐานที่มั่นทั้งสี่ ได้แก่ ปราสาทบิกโฮล์มในฮอร์เซนส์ ปราสาทคาเลอในทางตอนเหนือของออร์ฮูส ปราสาทบอร์กโวลด์ในวีบอร์ก และปราสาทอูลสตรัปทางตะวันออกของสเตอร์ นีลส์ บร็อคถูกประหารด้วยโทษฐานที่ให้ที่ซ่อนแก่ราเนอ จ็อนเซน (ค.ศ. 1254-1294) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดลอบปลงพระชนม์พระราชบิดาของกษัตริย์อีริคที่ 6 ที่ฟินเดอรัป[9]

ในปีค.ศ. 1313 กษัตริย์อีริคทรงยอมมอบทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ทั้งหมดในจัตแลนด์ตอนใต้แก่ดยุกเพื่อแลกกับเงินสด ในช่วงปีค.ศ. 1315 ถึง 1317 พืชผลไม่เจริญเติบโตอีกครั้ง ทำให้ไม่มีอะไรเหลือในการเก็บภาษี ท้องพระคลังว่างเปล่า ในปีค.ศ. 1317 กษัตริย์อีริคทรงจำนองเกาะฟึนทั้งหมดแก่เกอร์ฮาร์ดที่ 3 เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์-เรนส์บูร์กและโยฮันน์ที่ 2 เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์-คีล เพื่อแลกกับอัศวิน 200 นาย ก่อนพระองค์จะสวรรคตพระองค์ยังจำนองสคาเนียแก่ขุนนางเยอรมันเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่อไป ความยิ่งใหญ่ของเดนมาร์กถูกทำลายลงครั้งสุดท้ายด้วยไฮน์ริชที่ 2 ลอร์ดแห่งเมคเลนบูร์กทำการยึดป้อมปราการเดนมาร์กที่ร็อสท็อค[10][11]

เมื่อกษัตริย์อีริคสวรรคตในปีค.ศ. 1319 พระองค์ทรงสวรรคตหลังพระราชบุตร 14 พระองค์ เดนมาร์กกำลังล้มละลาย ผู้สืบบัลลังก์ต่อคือ พระเจ้าคริสตอฟเฟอร์ที่ 2 พระอนุชา ซึ่งปกครองเดนมาร์กในช่วงปีค.ศ. 1320 - 1326[12]

ใกล้เคียง

พระเจ้าอีริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 4 แห่งเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 1 แห่งเดนมาร์ก พระเจ้าอีริคที่ 3 แห่งเดนมาร์ก

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระเจ้าอีริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก http://danmarkshistorien.dk/leksikon-og-kilder/vis... http://danmarkshistorien.dk/leksikon-og-kilder/vis... http://www.danmarkskonger.dk/konge26.htm http://denstoredanske.dk/Danmarks_geografi_og_hist... http://denstoredanske.dk/Danmarks_geografi_og_hist... http://denstoredanske.dk/Danmarkshistorien/Velstan... http://denstoredanske.dk/Dansk_Biografisk_Leksikon... http://denstoredanske.dk/Dansk_Biografisk_Leksikon... http://www.roskildehistorie.dk/oversigter/embeder/... http://www.roskildehistorie.dk/stamtavler/konger/4...